Wednesday, June 29, 2016

บทที่ 2 คำถามที่คนถามบ่อย เรื่องโฮมสคูล (ตอนที่ 1)

ถ้าคุณติดตามบล็อกนี้ ก็แปลว่า คุณสนใจเรื่องโฮมสคูล ไม่ว่าจะแค่อยากรู้ อยากทำ หรือ กำลังทำอยู่

เป็นเรื่องปกติที่เราจะสงสัย เช่น โฮมสคูลนี่มีแยกประเภทไหม แล้วเด็กจะเข้าสังคมเป็นไหม
   เรียนแบบนี้แล้วจะต่อมหาวิทยาลัยได้หรือไม่ และอื่นๆ

ข้อมูลย่อๆ ของโฮมสคูลในสหรัฐอเมริกา
  • HS ถูกกฎหมายในทุกรัฐทั่วประเทศ 
  • ในปัจจุบันมีครอบครัวประมาณ 2 ล้านครอบครัวที่ทำโฮมสคูล
  • ค่าใช้จ่ายต่อปี อยู่ระหว่าง 500-2000  $ ต่อเด็กหนึ่งคน 
  • บางรัฐจะมีเงินช่วยสนับสนุนครอบครัวที่ทำโฮมสคูล 
  • เด็กที่โฮมสคูลตามสถิติแล้วพบว่า ทำคะแนนในข้อสอบด้านวิชาการได้สูงกว่าเด็กทั่วไปทั้งในรร.รัฐและเอกชน 
  • ในการประเมินด้านทักษะทางสังคม พบว่าเด็กที่โฮมสคูลทำได้ในระดับดี 
  • คุณทำงานไปด้วย ทำโฮมสคูลไปด้วยก็ได้ 
  • แม้จะเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวก็โฮมสคูลลูกได้ 

Guess!!  บุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มีอะไรเอ่ยที่เหมือนกัน? 


Duane "Digger" Carey   นักบินอวกาศ
วงดนตรีป๊อบ  Hanson
Venus and Serena Williams  สองพี่น้องนักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลก
Garth Brooks   นักร้องชื่อดัง
Aaron Fessler   นักธุรกิจที่ขายกิจการ Allegro ไปด้วยมูลค่า 55 ล้านเหรียญ
Rick Santorum  วุฒิสมาชิกสภาสหรัฐจากรัฐเพนซิลวาเนีย
LeAnn Rimes    นักร้องเพลงคันทรี่ชื่อดัง 


     เฉลย ทุกคนที่กล่าวถึงนี้ ถ้าตัวเองไม่ได้เป็นเด็กโฮมสคูลมาก่อน ก็กำลังโฮมสคูลลูกของตัวเองอยู่




คำถามพบบ่อย 


ข้อแรก โฮมสคูลคืออะไร 


คำตอบ  ทางเลือกทางการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลายที่สุดในปัจจุบัน สไตล์การทำมีหลายแบบขึ้นกับแต่ละบ้าน บางคนก็เลียนแบบโรงเรียน บางคนก็ "un-school" ซึ่งเป็นวิธีทำที่ไม่ยึดติดกับโครงสร้างใดๆแต่ขึ้นกับความสนใจและความพร้อมของเด็กเป็นสำคัญ 
แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะครึ่งๆ หมายถึง มีโครงสร้างและขึ้นกับความสนใจของเด็ก 
การเข้าถึงเช่นนี้ทำให้พ่อแม่สามารถเลือกการเรียนและสื่อทีเหมาะกับเด็กได้ 
บางครั้งก็จะเรียนกันเป็นกลุ่ม เช่น มีติวเตอร์มาช่วย พ่อแม่รวมกลุ่มช่วยกันสอน มีการเรียนด้านกีฬา มีอาสาสมัครและอื่นๆ                  


สอง ครอบครัวแบบไหนที่เลือกทำโฮมสคูล 

คำตอบ แม้ว่าภาพพจน์ของพ่อแม่โฮมสคูลอาจเป็นพวกฮิปปี้ อินดี้ หรือไม่ก็เคร่งศาสนา (มีกฎระเบียบของบ้านเคร่งครัด) หรือ ต้องเก่งมากๆ แต่จริงๆแล้ว คนที่ทำโฮมสคูลก็คือ คนปกติทั่วไปที่ต้องการจัดการศึกษาของลูกเอง มาจากทุกที่ในเมือง ชนบท มีทุกสาขาอาชีพ หมอ ครู พนักงาน บางบ้านก็เคร่งศาสนา บางบ้านก็ไม่มีความเชื่อเรื่องศาสนา สรุปแล้ว เขาก็คือคนธรรมดาเหมือนคุณนั่นแหล่ะ 


 ข้อสาม ทำไมคนถึงเลือกทำโฮมสคูล

คำตอบ มีหลากหลาย ในสมัยก่อนเป็นเหตุผลด้านศาสนา พ่อแม่ต้องการสอนเรื่องความเชื่อทางศาสนาให้ลูก (ครอบครัวที่นับถือคริสต์มักจะเน้นการสอนไบเบิ้ลให้ลูก และมักใช้หลักสูตรที่มีพื้นฐานความเชื่อของศาสนา)  แต่ในสมัยนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องวิชาการและความห่วงเรื่องอิทธิพลด้านลบในโรงเรียน เช่น ปัญหาความรุนแรง ยาเสพติดและอื่นๆ และก็อยากใช้เวลาของครอบครัวร่วมกันให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ครอบครัวที่เลือกทำโฮมสคูลมีความเชื่อเหมือนกันหนึ่งอย่าง ก็คือ เชื่อว่าตนเองสามารถจัดการศึกษาให้ลูกได้ดีกว่าที่โรงเรียนทำ 


ข้อสี่ ทำงานไปด้วยและโฮมสคูลไปด้วยได้หรือไม่ 

คำตอบ ได้แน่นอน แม้ว่าครอบครัวโฮมสคูลส่วนใหญ่จะมีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่อยู่บ้านก็ตาม แต่ก็มีครอบครัวนับหลายพันครอบครัวที่คิดหาวิธีทำงานที่เอื้อให้โฮมสคูลได้ เช่น ทำธุรกิจในครอบครัว ทำธุรกิจโดยสร้าง virtual office หรือทำงานเป็นกะ ทำงาน part-time หรือเป็นฟรีแลนซ์ เทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เนต มือถือหรือคอมพิวเตอร์แลปท๊อปทำให้ครอบครัวยืดหยุ่นมากขึ้น ในบทต่อๆไป จะพูดถึงงานรูปแบบต่างๆที่สร้างรายได้โดยไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน 



ข้อสี่ ข้อดีและข้อเสียของโฮมสคูลมีอะไรบ้าง 

คำตอบ ข้อดี คือ สายสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัว ความยืดหยุ่นในวิธีและเวลาของการเรียน เด็กได้เรียนรู้ในสถานการณ์จริงนอกห้องเรียน สิ่งนี้ส่งผลให้เด็กรู้จักตัวเอง สิ่งที่สนใจและสไตล์การเรียนของตัวเอง 

ข้อเสียที่มีคนตอบกลับมาในเว็บไซค์โฮมสคูลมากที่สุด คือ เรื่องของรายได้ที่พร่องลงไป นอกจากนั้นเป็นอุปสรรคที่ทำให้ความมั่นใจลดลง ทั้งความสามารถของตัวพ่อแม่เองและของลูกด้วย คำวิจารณ์จากคนอื่นๆทั้งในสังคมและครอบครัว และสุดท้ายที่ฟังดูขำๆ คือ บ้านรก อย่าลืมว่าเมื่อเด็กเรียนที่บ้าน พวกอุปกรณ์การเรียนต่างๆ จะกระจายอยู่รอบบ้าน แต่อย่าห่วงเพราะนี่เป็นสัญญาณว่าเด็กๆเรียนรู้รอบตัวเลย 




ข้อห้า นักเรียนที่โฮมสคูลจะมีปัญหาการเข้าสังคมไหม 

คำตอบ ถ้าคุณบอกใครว่าจะโฮมสคูลลูก คนก็มักพูดว่า "แล้วเด็กจะได้เรียนอะไรล่ะ??" 
คุณก็จะพยายามให้ลูกรู้อะไรเยอะๆ เพื่อโชว์ว่านี่ไง เก่งกว่าเด็กในโรงเรียนอีก จากนั้น คนก็จะพูดต่ออีกว่า "แล้วจะมีสังคมได้ยังไง??" คำถามแบบนี้มีพื้นฐานมาจากความกลัวว่า เด็กไม่สามารถเรียนรู้ทักษะทางสังคมได้เลยถ้าไม่ไปโรงเรียน แต่มีข่าวดี งานวิจัยมากมายได้ศึกษาเด็กโฮมสคูลมาเป็นเวลาหลายปีและพบว่า เด็กกลุ่มนี้่มีระดับความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง (ถูกชักจูงจากเพื่อนรุ่นเดียวกันน้อยกว่า) มากกว่าเด็กที่ไป รร.ปกติ 



ตอนต่อไปจะตอบคำถามเรื่องหลักสูตร การโฮมสคูลลูกมากกว่าหนึ่งคน และอื่นๆค่ะ 


เครดิต Homeschooling For Success

Tuesday, June 28, 2016

บทที่ 1 โรงเรียนในอุดมคติ

                                    มองภาพโรงเรียนโดยทั่วไปก่อน 

โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยภาครัฐ หรือ เอกชน (บริบทประเทศอเมริกา แต่ฟังดูเหมือนประเทศไทย) 
ที่มีนักเรียนจำนวนมากต่อชั้น ใช้หลักสูตรมาตรฐานเดียว การศึกษาแบบนี้ออกแบบมาจากหลักการโรงงานอุตสาหกรรม  เพื่อสอนคนให้มาทำงานตามสายพาน เกิดขึ้นในยุคอุตสาหกรรม   
สาเหตุเพราะว่าในขณะนั้น อเมริกาต้องการคนงานหลายล้านคนเพื่อทำงานด้านการผลิตในโรงงาน  

ดังนั้น โรงเรียนก็ต้องออกแบบเพื่อสอนให้คนทำตามคำสั่งได้ ไม่ต้องถามมากให้เสียเวลา 
เป้าหมายการศึกษาในโลกยุคเก่า คือ การสร้างพลเมืองที่ทำอะไรตามๆ กันได้ (conformist citizen)

แต่ในโลกยุคใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล ความคิดสร้างสรรค์และความมีเอกลักษณ์                                                 

สมองของเราต้องการเรียนรู้มากกว่าแค่จากกระดาษแบบฝึกหัด และแค่ฟังครูยืนเลคเชอร์ สองอย่างนี้ครอบคลุม คำว่า การเรียนรู้ แค่ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ

ดร.โทมัส อาร์มสตรอง 


                 

  

 โรงเรียนในอุดมคติ ในสายตาของนักการศึกษา มีลักษณะเป็นยังไง


ครูต้องให้ความสำคัญกับนักเรียนแต่ละคนแบบปัจเจก
  • รู้จักจุดแข็ง จุดอ่อน และพัฒนาการในการเรียนรู้ของแต่ละคน
  • สนใจนักเรียนแต่ละคน นักเรียนรู้สึกมีคุณค่า เกิดความมั่นใจและมีแรงจูงใจ 
  • รู้ว่าแต่ละคนควรเรียน  เพิ่มทักษะตรงไหนบ้าง
  • ต้องปกป้องนักเรียนไม่ให้ต้องถูกตำหนิวิจารณ์ เนื่องจากการต้องทำสิ่งที่เด็กยังไม่พร้อม 
  • ต้องรู้จักเรื่องราวความเป็นมาและเป็นไป ความสนใจ และเป้าหมายของนักเรียน 
 แต่ถ้านักเรียนปาเข้าไป 40 คนต่อห้อง ครูจะให้ความสำคัญกับนักเรียนแบบปัจเจกได้ยังไง


ในโลกยุคใหม่ เด็กต้องเจอสิ่งใหม่ที่เราเองยังนึกภาพยังไม่ออก ทั้งรูปแบบธุรกิจ เทคโนโลยีใหม่ๆ

ทักษะที่จำเป็นมาก คือ ความคิดสร้างสรรค์และการมีตัวตน มีเอกลักษณ์ของตัวเอง 
             ทั้งในเชิงธุรกิจและการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง





แล้วการศึกษาแบบไหนจะช่วยให้มีทักษะเหล่านี้ได้ล่ะ 

ไม่ใช่แบบโลกยุคเก่าที่สร้างให้คนคิดแบบเดียวกัน ทำงานซ้ำๆ
แต่เป็นการศึกษาที่ให้คุณค่ากับคนแต่ละคนเป็นปัจเจก

คือการเรียนที่เหมาะกับเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ การศึกษาออกแบบเฉพาะ (customized education)



"การศึกษาที่เห็นความสำคัญของ ความแตกต่างของมนุษย์อย่างจริงจังและมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต้องช่วยให้คนที่มีจิตใจ ความคิด ความรู้สึกหลากหลาย แตกต่างกันได้รับการพัฒนา" 


                        ดร.ฮาเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาแห่ง ม.ฮาวาร์ด 



                  พันธกิจของโรงเรียนในอุดมคติ

  • วิธีเรียนรู้ของเด็กไม่เหมือนกัน และสื่อการสอนจะเหมาะกับวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคน 
  • ดู "ความพร้อมของเด็กแต่ละคน" ก่อนจะเริ่มการเรียนรู้เรื่องต่างๆ 
  • เน้นให้เด็กทำสิ่งที่ตัวเองมีความสนใจ 
  • เน้นให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือทำ 
  • เด็กๆ จะมีเวลาได้เล่นและได้ทำตัวเป็น "เด็ก" 
  • เด็กจะได้รับการส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ตนเองรัก 
  • จะค้นหาอัจฉริยภาพ หรือ ความเก่งเฉพาะตัวของเด็กให้พบและบำรุงให้เจริญงอกงามต่อไป 

                     โรงเรียนในอุดมคติเช่นนี้ ยังไม่มี (ในอเมริกา) ในประเทศไทย 
                      แต่ครอบครัวสร้างโรงเรียนในอุดมคติแบบนี้ได้เองที่บ้าน 


ในโลกสมัยเก่า  พ่อแม่ยังไม่มีความรู้มากและเรื่องง่ายๆ อย่างอ่านหนังสือ หรือ สุขภาพ 
ก็มักจะต้องให้ "ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้" ช่วยอยู่เสมอ มีความกลัวเพราะไม่มีความรู้ 

ถึงปัจจุบันนี้ สังคม (และธุรกิจต่างๆ) ก็ยังทำให้พ่อแม่ยังเชื่ออยู่ว่า  "ไม่รู้มากพอ ไม่เก่งพอ" จะสอนลูก  

แต่ความจริงก็คือ ในปัจจุบันนี้ พ่อแม่มีความรู้มากขึ้น เรามีแหล่งข้อมูลดีๆ มากมายที่จะช่วยสอนลูก
  
          สำคัญที่สุดก็คือ เรามีสัญชาตญาณปรารถนาจะช่วยให้ลูกเรียนรู้สิ่งต่างๆ 

สถิติทางการศึกษาต่างๆ พิสูจน์แล้วว่า
เด็กที่โฮมสคูล เมื่อกลับเข้าระบบทำคะแนนได้สูงกว่าเด็กทั่วไป 

(ข้อมูลจากงานวิจัยของ ลอเรนซ์ รัดเนอร์ ม.แมรี่แลนด์ ปี 2000) 

           

จงจำไว้ว่า....     คุณเป็นครูคนแรกและเป็นครูที่ดีที่สุดในชีวิตของลูก 

เด็กทุกคนมีพรสวรรค์ ความถนัดเฉพาะตัวใช้สิ่งนี้เป็นหลักเพื่อการช่วยลูกให้บรรลุเป้าหมาย 








     


เครดิต: Homeschooling for Success








           

Monday, June 27, 2016

10 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ถ้าคิดจะโฮมสคูล



1. การโฮมสคูล (HS) จะเปลี่ยนชีวิตของทั้งพ่อแม่และเด็ก พ่อแม่จะได้พบอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเอง ลูกก็เหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดจะมีอิทธิพลต่อชีวิตครอบครัวในระยะยาวได้มากกว่าการทำ HS อีกแล้ว

2. อยากรู้ว่าตัวเองจะทำ HS ได้ไหม?   ถ้าชอบอ่านหนังสือให้ลูกฟัง มีความสุขเวลาอยู่กับลูก ชอบเที่ยวสำรวจโลกกับลูก ตื่นเต้นเมื่อเห็นลูกเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และสำคัญสุด รักลูก
          นั่นแหละ มีคุณสมบัติพอแล้ว 



3. ธรรมชาติของเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองชอบ สนใจ เด็กจะสำรวจว่า อะไรที่สนุกแล้วก็จะเข้าไปรู้จัก ไปเล่นและเรียนรู้ จากนั้นก็นำไปสู่ความสนใจต่อไป ผู้ใหญ่เองก็เหมือนกัน เราทำแบบเดียวกันนี้แหล่ะ หลังจากเรียนจบ บ้านที่ทำ HS จะเรียนรู้ไปด้วยกันเป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต



4. ในอเมริกา HS ถูกกฎหมาย แต่ว่ากฎหมายย่อยของแต่ละรัฐก็ต่างกันไป 


5. ไม่ต้องนับชั่วโมงทุ่มเทสอนลูกแบบ 6-8 ชม.หรอก นึกถึงเด็กที่ไปโรงเรียน เวลาส่วนมากเป็นเวลาพัก เวลานั่งเล่นรอครู ฉะนั้น ออกแบบให้เหมาะกับวิถีชีวิตของแต่ละบ้าน ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตารางได้เสมอ อย่าถึงกับสละความสุขของครอบครัวเพื่อการ "สอน" ลูกเลย ไม่จำเป็น



6. ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะเข้าสังคมไม่เป็น เข้ากับใครไม่ได้ เพราะขนาดเด็กที่ไป รร.พ่อแม่ก็ไม่ได้คาดหวังให้รู้จักมารยาทสังคมจากเพื่อนอายุเท่าๆกัน แต่ให้ดูตัวอย่างจากผู้ใหญ่ต่างหาก เด็ก HS มีโอกาสใกล้ชิดพ่อแม่ มีเวลาได้พูดคุย รู้จักผู้ใหญ่รอบตัวได้ 




7. อย่ากังวลไปล่วงหน้าว่าจะสอนเคมี ฟิสิกส์ให้ลูกยังไง ดูความสนใจเด็กเป็นตัวตั้งก่อน ถ้าลูกโตพอและอยากเรียนต่อสายวิทยาศาสตร์ ก็ค่อยเรียน ถ้าสอนเองไม่ได้ ก็หาหนังสือ สื่อต่างๆ หรือ ติวเตอร์ มีทางเลือกจะเรียนเยอะ


8. ถ้าสอนลูกไปแล้วเกิดอาการลังเล ไม่มั่นใจละก็ รู้ไว้ว่าคุณไม่ใช่คนเดียวในโลก หากลุ่มเพื่อนที่ทำ HS พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนกัน ให้กำลังใจกัน บางที ถ้ารู้สึกว่า วันๆ ลูกไม่ค่อยได้เรียนอะไรเลย เชื่อเถอะ ว่าเด็กๆ เค้าเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา


9. อย่าไปคิดว่าจะรันทดอดอยาก ยากจน เมื่อจะโฮมสคูล มีครอบครัวอีกนับพันที่หาเงินได้เพียงพอและก็โฮมสคูลลูกไปพร้อมๆ กัน ถ้าพ่อแม่กำลังคิดสร้างธุรกิจครอบครัว หรืองานในฝัน หรือ ปรับเปลี่ยนงานที่ทำอยู่ (เพื่อจะสอนลูกเอง) ลูกจะได้เรียนรู้ทักษะที่สำคัญที่สุด คือ ทักษะการสร้างชีวิตอย่างที่ตัวเราเองต้องการ ด้วยการจัดสรรสิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อให้สามารถทำสิ่งที่ฝันไว้ได้



10. เชื่อในตัวลูก เพราะเค้าเกิดมาก็เรียนรู้ที่จะยิ้ม คลาน เดิน วิ่ง จนแต่งตัวเองได้ รักคนอื่นได้ด้วยตัวเค้าเองไม่ใช่เหรอ เด็กรู้จักโลกก่อนจะเข้าโรงเรียน ฉะนั้น เค้าก็จะเติบโตและก็เรียนรู้ต่อไปได้ ไม่เกี่ยวว่าจะเข้าโรงเรียนหรือเปล่า จริงไหม 









เครดิต Homeschooling For Success